The Forbidden Kingdom – หนึ่งต่อหนึ่ง ใหญ่ฟัดใหญ่ (2008, Rob Minkoff)

by Somyos Thiamtawan

คอหนังแอคชั่นชนิดแฟนพันธุ์แท้ (โดยเฉพาะหนังแอคชั่นฮ่องกง) คงเคยพากันตั้งคำถาม (ที่เอื้อเหลือเกินกับการนำไปสร้างเป็นหนังคัลต์) ประเภท ถ้านักบู๊คนนั้นกับนักบู๊คนนี้มาเจอกัน ใครจะเป็นฝ่ายชนะ และใครจะเป็นฝ่ายพ่ายจนต้องไปหยอดน้ำข้าวต้ม ซึ่งแน่นอนว่า สองในบรรดาชื่อดาราแอคชั่น ที่ได้รับการกล่าวถึงในทำนองนี้ย่อมต้องมีชื่อของ เฉิงหลง (Jackie Chan) และหลี่เหลียนเจี๋ย (Jet Li) ติดอยู่ด้วยอย่างแน่นอน

เป็นเวลายาวนานเกือบสามทศวรรษแล้ว ที่เฉิงหลงและหลี่เหลียนเจี๋ย ต่างสร้างผลงานภาพยนตร์ประดับวงการบันเทิงฮ่องกง พวกเขาสร้างมาตรฐานใหม่ ๆ พร้อมกับพัฒนาหนังแอคชั่นศิลปะการต่อสู้ ที่ได้ชื่อว่าเป็นมรดก อันล้ำค่าอีกชิ้นหนึ่งของชาวจีนให้เป็นที่รู้จักของสังคมโลก ขณะเดียวกัน ก็มีหลายคนที่อยากเห็นสองดารามาประกบกันในหนังสักเรื่อง ในที่สุดความฝันนั้นก็เป็นจริงแล้ว กับหนังตะลุยอาณาจักรจีนโบราณ ที่พาเหล่าตัวละครในนิยายมาโลดแล่นบนหน้าจอ หนังที่ชื่อ The Forbidden Kingdom

เจสัน (ไมเคิล แองการาโน) เด็กหนุ่มอเมริกันบ้ากังฟู ผู้หมั่นเพียรฝึกฝนในโลกของตน แต่กลับเป็นไอ้ขี้แพ้ในโลกแห่งความจริง วันหนึ่งโชคชะตาดันเล่นตลกให้เขาย้อนเวลาข้ามภพไปยังประเทศจีนโบราณ ด้วยอิทธิฤทธิ์ของกระบองวิเศษในโรงรับจำนำที่เขาไปบ่อย ๆ ที่นั่นเจสันได้พบกับจอมยุทธ์ฝีมือฉกาจฉกรรจ์สามคน ได้แก่ ลู่หยาน (เฉิงหลง) ปรมาจารย์มวยหมัดเมาหัวกระเซิง นางแอ่นทองคำ (หลิวอี้เฟย) จอมยุทธ์สาว ผู้สุมไปด้วยไฟแค้น และหลวงจีนใบ้ (หลี่เหลียนเจี๋ย) นักบวชผู้เคร่งขรึม

ทั้งสี่ออกเดินทางร่วมกันเพื่อไปปลดปล่อยพญาวานร ซุนหงอคง จากการถูกจองจำโดยขุนศึกหยกผู้ชั่วร้าย (โจวเจ้าหลง) โดยระหว่างทาง พวกเขาต้องต่อกรกับ นางพญาผมขาว (หลี่ปิงปิง) และเหล่าสมุนต่าง ๆ จนในที่สุด เจสันต้องเอาชนะตนเอง ด้วยการดึงพลังความกล้าหาญของเขา ออกมาเพื่อปฏิบัติภารกิจ ที่สำคัญที่สุดในชีวิตและเพื่อพิสูจน์ให้โลกได้เห็นว่า เขาก็ ‘ยิ่งใหญ่’ ไม่แพ้ใครเหมือนกัน

นับแต่แรกเริ่มประกาศโครงการออกมาภายใต้ชื่อชั่วคราวว่า The J & J Project (คงเดาได้ไม่ยากว่า J สองตัวย่อมาจากอะไร) และวางตัวเจ้าของโครงการนี้ คือ จอห์น ฟัสโก (Hidalgo, The Babe) ในตำแหน่งคนเขียนบท พร้อมกับการทาบทาม ร็อบ มินคอฟ (The Lion King, Stuart Little) มาเป็นผู้กำกับ ภายใต้การร่วมสร้างของ Lionsgate Company และ Weinstein Company

สองบริษัทสร้างหนังชื่อ (ไม่ค่อย) ดังของฮอลลีวู้ด ก็มีเสียงปรามาสอย่างหนักหน่วง ว่านี่คงจะเป็นหนังลูกกวาด จากฮอลลีวู้ดอีกเรื่องหนึ่ง ที่ภายนอกเปี่ยมสีสันจัดจ้าน ทว่าภายในคงจืดชืดและกลวงโบ๋ โดยเฉพาะการเอาเรื่องแบบตะวันออกไปฝากไว้กับทีมผู้สร้างตาน้ำข้าว (เกือบ) ล้วน ๆ ก็ก่อให้เกิดกระแสวิตก ในหมู่ชาวจีน ว่าจะสะท้อนรากฐานวัฒนธรรมของพวกตน ออกมาได้สักกี่มากน้อย

อย่างไรก็ตาม ต้องขอแสดงความยินดีกับผู้ที่กังวลเหล่านั้นด้วยครับ เพราะทีมผู้สร้างหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะ ฟัสโก ผู้คิดค้นไอเดียต่าง ๆ ที่ดูจะทำการบ้านมาละเอียดพอสมควร ส่งให้ตัวหนังดูมีความเป็น “จีน” มากถึง 85% กระทั่งเทียบกับหนังสัญชาติฮ่องกง ที่สร้างจากวัฒนธรรมจีนเหมือนกันอย่าง A Chinese Tall Story แล้ว The Forbidden Kingdom ยังดูเข้าที่เข้าทางกว่ามากนัก แค่ฉากเปิดเรื่องของหนัง ก็มีสิ่งหนึ่งที่จะทำให้แฟน ๆ หนังจีนอุ่นใจขึ้นมาทันทีว่า ฟัสโกนั้น ‘รัก’ และ ‘รู้’ จริงในเรื่องหนังจีน (โดยเฉพาะหนังกำลังภายใน) เพราะเขาเอาแผ่นใบปิดหนังจีนเก่า ๆ มากมายของทั้งชอว์บราเธอร์สและโกลเด้น ฮาร์เวสต์มาใส่เปิดเรื่องเสียเลย (เชื่อว่า เมื่อคอหนังจีนกำลังภายในท่านอื่น ๆ ได้ชม คงแอบขำเหมือนผมเป็นแน่ครับ)

ไม่ใช่แค่เอาโปสเตอร์หนังมาแปะเท่านั้น แต่ฟัสโกยังเข้าถึงแก่นลึก ด้วยการนำสิ่งที่เป็นนามธรรมอย่างปรัชญาการใช้ชีวิตของลัทธิเต๋า (สำหรับผู้เป็นแฟนคลับของ บรูซ ลี คงสังเกตเห็นอิทธิพลเชิงปรัชญา ที่หนังได้รับมาจากราชันย์กังฟูเป็นแน่แท้) ผ่านตัวละครที่กรำเคี่ยวกับโลกและชีวิตมายาวนานอย่าง ลู่หยาน และที่เป็นรูปธรรมอาทิ วรรณกรรมและหนังจีน มาใช้จนทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาดูไม่ต่างกับหนังจีนเรื่องหนึ่ง กล่าวเช่นนี้ คงมีสาวกหลายคน กลัวว่าหนัง หรือวรรณกรรมโปรดของตน จะถูกนำมาปู้ยี่ปู้ยำจนเละตุ้มเป๊ะ ตัวผมเองก็สารภาพนะครับว่า ตอนแรกคิดเช่นนั้น ทว่าเมื่อได้ชมก็ต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เพราะ The Forbidden Kingdom ไม่ได้ดัดแปลงจากหนังหรือวรรณกรรมจีนตามข่าวที่ออกมาตอนแรก หากแต่รับเอาอิทธิพลและหยิบยืมตัวละครมาจากตำนานของจีนหลาย ๆ เรื่องเท่านั้น

โดยมีสามองค์ประกอบหลัก ที่นับเป็นแรงบันดาลใจที่แท้จริง ให้หนังเรื่องนี้ได้เกิดขึ้น ได้แก่ ไซอิ๋ว (Journey to the West) ผลงานการประพันธ์ของ อู่เฉิงเอิน หนึ่งในสี่นิยายที่คลาสสิกที่สุดของจีนที่ชาวไทยรู้จักกันดี สะท้อนอิทธิพลให้เห็นเด่นชัดกับตัวละคร ซุนหงอคง ที่แสดงโดย หลี่เหลียนเจี๋ย ถัดมาคือ เทพโป๊ยเซียน (The Eight Immortals) เซียนแปดองค์ที่โด่งดังตามความเชื่อของลัทธิเต๋า และเป็นกลุ่มเทพเจ้าที่ชาวจีนนับถือมาช้านาน ตำนานนี้ถูกจับผสมกับ ไอ้หนุ่มหมัดเมา ตัวละครสุดคลาสสิกของเฉิงหลง ออกมาเป็น ลู่หยาน จอมยุทธ์พเนจรที่เฉียบคมทั้งฝีมือและฝีปาก (ส่วนผู้ที่มารับบทก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเฉิงหลงเอง)

สุดท้ายคือ นางพญาผมขาว จากนิยายอมตะของ เนี่ยอู้เซ็ง (ที่ครั้งหนึ่งถูกสร้างเป็นหนังกำกับโดย รอนนี่ หยู) จากที่เป็นนางมาร ผู้ยอมปล่อยให้ความเคียดแค้นเข้าครอบงำ จนผมทั้งศีรษะกลายเป็นสีขาวโพลนในเวอร์ชั่นนิยาย กลายมาเป็นลูกสมุนของขุนศึกหยก ที่ถูกส่งให้มาตามล่าเอากระบองวิเศษคืนไป เพื่อขอความอ่อนเยาว์และเป็นอมตะคืนสู่ตนอีกครั้ง

เทียบกันทั้งสามตำนานแล้ว นางพญาผมขาวดูจะด้อยชั้นที่สุดในแง่ของชื่อเสียง ความโด่งดัง ตัวดาราที่มารับบทอย่าง หลี่ปิงปิง (Li Bing Bing) ก็ไม่ได้รวยผลงานจอเงิน (จะหนักทางจอแก้วมากกว่า) อย่างเฉิงหลงและหลี่เหลียนเจี๋ย จุดนี้ส่งผลกระทบต่อรัศม ีและบารมีของเธอไม่น้อยยามเมื่อขึ้นจอพร้อมกับดาราคนอื่น ๆ แม้ว่าหน้าตาสะสวยและผมขาวทรงเสน่ห์ (!?) จะทำให้เธอดู ‘ขึ้น’ บนจอก็ตาม ทั้งนี้ยังไม่นับรวม ‘ความลึก’ ของนางพญาผมขาวที่เมื่อเทียบกับตัวละครต่าง ๆ ในเรื่องแล้ว ดูตื้นที่สุด ไม่ว่าจะในด้านการกระทำหรือที่มาที่ไปของเธอที่ดูทะแม่ง ๆ พิกล อย่างไรก็ตาม โชคยังดีที่ความมานะพากเพียรในการฝึกซ้อมบทบู๊ (ทั้งการขี่ม้าและการฝึกหมัดมวย) ของหลี่ปิงปิง ปรากฎผลลัพธ์ออกมาให้เห็นในฉากแอคชั่นของเธอ ทำให้เธอยังพอได้รับการจดจำจากผู้ชม (หนุ่ม ๆ) อยู่บ้าง

เสียงบ่นระงมส่วนใหญ่ของคนรักหนังศิลปะการต่อสู้ (โดยเฉพาะบรรดาแฟนคลับของเฉิงหลงและหลี่เหลียนเจี๋ย) ตกไปอยู่ที่การนำนักแสดงผิวขาวชาวนิวยอร์กอย่าง ไมเคิล แองการาโน (Michael Angarano) ผู้ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านศิลปะการต่อสู้มาก่อนมารับบทพระเอก ในขณะที่หลี่เหลียงเจี๋ย และเฉิงหลงกลับถูกวางบทให้เป็นตัวละครอาจารย์ เพื่อดันพระเอกชาวฝรั่งแทน เชื่อว่าคำครหานี้คงหมดไป สำหรับผู้ที่ได้ชมหนังเรื่องนี้แล้ว เพราะต้องยอมรับว่า แม้จะเป็นพระเอก แต่ตัวละคร เจสัน นี้ แทบเรียกได้ว่า ‘จืดสนิท’ กล่าวคือไม่มีเอกลักษณ์ใด ๆ ให้ผู้ชมจดจำได้เลย นอกจากการเป็นนักแสดงฝรั่งคนเดียวที่ได้ร่วมเดินทางกับสามชาวฮ่องกง ซึ่งการมีเชื้อชาติที่แตกต่างนี้ คงช่วยอะไรได้บ้าง หากสองในสามชาวฮ่องกงที่ว่าไม่ได้เป็น ‘ซูเปอร์สตาร์’ แห่งเอเชีย ยังไม่นับรวมการแสดงศิลปะการต่อสู้ ที่พระเอกหนุ่มถูกขโมยซีนจากดาราที่ร่วมแสดงเสียไม่เป็นท่า

ที่พอจะอภัยให้ได้คือ การแสดงบทดราม่า ซึ่งแองการาโนทำได้ไม่เลวทีเดียว โดยเฉพาะเรื่องราวประเภท Coming of Age (ลักษณะเดียวกับที่เขาเคยแสดงในหนังเรื่อง Sky High) การแสดงเป็นหนุ่มขี้แพ้อย่าง เจสัน (ที่รูปลักษณ์ของแองการาโนดูเหมาะสมมาก ๆ) ที่พยายามก้าวผ่านวัย และความอ่อนแอด้วยการฝึกฝนอย่างหนักหน่วงจนกระทั่งเป็น “ยอดคน” ที่สามารถเอาชนะศัตรูที่ยิ่งใหญ่กว่าได้อย่างงดงามในตอนท้ายเรื่อง นอกจากจะเปิดโอกาสให้แองการาโนได้โชว์ทักษะทางการแสดงที่ต้องค่อย ๆ เผยถึงพัฒนาการของตัวละครแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงข้อคิด เกี่ยวกับการไล่ตามความฝันของคนตัวเล็กคนหนึ่ง ที่ผู้สร้างพยายามหยิบยื่นให้กับผู้ชมนอก เหนือจากความสนุกสนานอีกด้วย

อีกประเด็นหนึ่งที่ได้รับการกล่าวถึงกันมากคือ การให้สองพระเอกนักบู๊คนดัง แสดงคนละสองบทบาท สองตัวละคร เฉิงหลงรับบท ลู่หยาน และชายแก่ในโรงรับจำนำ ส่วนหลี่เหลียนเจี๋ย แสดงเป็นหลวงจีนใบ้ และราชาวานร ซุนหงอคง

สำหรับเฉิงหลง ดูไม่น่ามีปัญหาเท่าใดนักกับบทเซียนหมัดเมาอย่างลู่หยาน เพราะตัวละครตัวนี้แทบจะเป็นตัวเดียว กับไอ้หนุ่มหมัดเมาที่เขาเคยเล่น จนโด่งดังในอดีตเกือบทุกกระเบียด ที่น่าสนใจคือ บทอาแปะเจ้าของโรงรับจำนำที่เฉิงหลงต้องถูกจับแปลงโฉมจนดูแก่สุด ๆ แทบไม่เหลือเค้าเดิม ซึ่งเมื่อรวมกับการแสดงที่แนบเนียนทั้งการพูดการจา ตลอดจนท่วงท่าการเคลื่อนไหวร่างกาย ที่ดูราวกับเป็นคนละคน ชวนให้เชื่อว่าตัวละครตัวนี้ ‘แก่’ จริง

ในส่วนของหลี่เหลียนเจี๋ย ก็เป็นที่จับตามองไม่แพ้กัน กับการรับบทเป็นสองคาแรคเตอร์ที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว ตัวละครหลวงจีนใบ้คงไม่เป็นอุปสรรคมากนัก ความเคลือบแคลงสงสัยต่าง ๆ ล้วนพุ่งเป้าไปที่การแสดงเป็นฉีเทียนไต้เซียที่แสนซุกซน อยู่ไม่สุขของคนเงียบขรึมอย่างเจ็ต ลีว่าจะดีสักแค่ไหน ผลที่ออกมาก็นับว่าเซอร์ไพรซ์ยิ่ง หลี่เหลียนเจี๋ยให้การแสดงที่ยอดเยี่ยม ทั้งดูดีในบทหลวงจีนใบ้ และสอบผ่านกับการเป็นซุนหงอคงด้วยเกรดสูงลิ่ว

และคงต้องกล่าวว่า เพราะหลี่เหลียนเจี๋ยนี่เอง ที่ทำให้ราชาวานรกลายเป็นตัวขโมยซีนที่แท้จริงของหนัง โดยเฉพาะฉากเปิดเรื่อง ที่ซุนหงอคงสำแดงฤทธิ์บนสวรรค์ ด้วยกระบองวิเศษได้อย่างน่าดู รวมถึงฉากการคืนชีพของราชันย์แห่งลิงที่ทำออกมาได้อลังการไม่น้อย แถมท้ายอีกนิดสำหรับผู้ที่สงสัยว่า ทำไมหลวงจีนใบ้ถึงมีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับซุนหงอคง แต่ยังไม่ได้ชม ก็ลองไปชมกันครับ แล้วท่านจะพบทางออกที่ผู้สร้างเตรียมไว้ให้ท่านอย่างชาญฉลาดแล้ว

สำหรับนางเอกสาวของเรื่อง หลิวอี้เฟย (Crystal Liu Yifei) นักแสดงสาวเจ้าของสมญานาม “นางฟ้า” ขวัญใจของใครหลาย ๆ คน ก่อนหน้านี้ เธอโด่งดังจากการแสดงในละครทีวีชุด 8 เทพอสูรมังกรฟ้า และมังกรหยก ภาค 2 ด้วยประสบการณ์การแสดงหนังกำลังภายในจอแก้ว และใบหน้าสะสวยเยี่ยงอิสสตรีจีนโบราณ คงเป็นสาเหตุหลัก ที่ทำให้เธอได้รับการคัดเลือก ให้มาแสดงเป็นวีรสตรีหนึ่งเดียวของเรื่องอย่าง นางแอ่นทองคำ

ต้องยอมรับอีกเช่นกันว่า แม้จะมีทักษะการแสดงคิวบู๊ที่ไม่เลว (มีข่าวว่า เธอแทบไม่ใช้สตันท์แสดงแทนเลย) แต่หลิวอี้เฟยก็เป็นอีกคนในเรื่อง ที่ถูกรัศมีของทั้งเฉิงหลง และหลี่เหลียนเจี๋ยบดบังเสียจนแทบหาความโดดเด่นไม่เจอเลย ยังดีที่มีพล็อตย่อยเกี่ยวกับอดีตอันแสนขมขื่น และความรักข้ามสัญชาติ (รวมถึงข้ามภพด้วย) ระหว่างนางแอ่นทองคำกับเจสัน เข้ามาเสริมความลึกให้กับตัวละครตัวนี้ ช่วยทำให้หนังดูมีอารมณ์นุ่มนวลหวานซึ้งขึ้นมาได้มาก

ปฏิเสธไม่ได้ว่า หัวใจหลักของ The Forbidden Kingdom คือ คิวบู๊ ฉากแอคชั่นต่อยตี ที่เมื่อได้สองพระเอกนักบู๊แห่งยุคมาแสดงทั้งที คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกคาดหวังในแง่ของคุณภาพ ผู้ที่ได้รับการไว้วางใจ จากทั้งเฉิงหลงและหลี่เหลียนเจี๋ยให้มาสร้าง ‘คุณภาพ’ ที่ว่านี้ คือ หยวนหวูปิง นักออกแบบคิวบู๊มือวางอันดับหนึ่งของโลก ที่ในอดีตเคยร่วมงานจนคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับคนทั้งคู่ … เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า หยวนหวูปิงชมชอบการออกแบบคิวบู๊ โดยใช้ลวดสลิงและศิลปะการต่อสู้รูปแบบทางเหนือเป็นส่วนประกอบหลัก

เห็นได้จากงานชิ้นก่อน ๆ ที่เขาสนุกกับสององค์ประกอบนี้มาก เสียจนภาพที่ออกมาดูไม่ต่างจากหนังแฟนตาซี ในคราวนี้ ผู้กำกับคิวบู๊วัย 63 ยอมที่จะลดความสนุกของตัวเองลง โดยการยืนพื้นหลัก ๆ ด้วยศิลปะการต่อสู้แบบโบราณของจีน ทั้งการใช้ศาสตราวุธและเพลงหมัดชนิดต่าง ๆ (ที่โดดเด่นมาก คือมวยหมัดเมาตำรับดั้งเดิมของเฉิงหลง) แต่งเติมสีสันเล็กน้อยด้วยลวดสลิงและสเปเชียล เอฟเฟกต์ ส่งให้ฉากต่อสู้ต่าง ๆ ที่ได้รับการบรรจงประดิดประดอยออกมา ทั้งดูสมจริงสมจังและตื่นเต้นเร้าใจไปพร้อมกัน

โดยฉากแอคชั่นที่ ‘เฉียบ’ ที่สุดในเรื่อง เห็นจะเป็นฉากสำคัญที่หลวงจีนใบ้ กับลู่หยานประมือกันด้วยเพลงหมัดสารพัดชนิดตอนกลางเรื่อง ฉากนี้ลงตัวในทุกด้านนับแต่การวางมุมกล้อง ฉากหลัง ดนตรีประกอบ จังหวะการกำกับแอคชั่น ไปจนถึงฝีมือการแสดงคิวบู๊ระดับเซียน ของเฉิงหลง และหลี่เหลียนเจี๋ยที่รวดเร็วเทียบเท่ากันแทบทุกกระบวนท่า จึงไม่แปลกใจที่หลายคน (รวมทั้งผม) ลงความเห็นว่า ฉากพะบู๊ความยาวประมาณ 5 นาทีนี้ เข้าขั้นเป็น ‘ตำนาน’ อีกบทหนึ่งของหนังศิลปะการต่อสู้เลยทีเดียว

นอกจากรุ่นลุงอย่างเฉิงหลงและหลี่เหลียนเจี๋ย The Forbidden Kingdom ยังได้ดารานักบู๊รุ่นอา ผู้ที่ช่วงนี้เริ่มกลับมารุ่งอีกครั้งอย่างโจวเจ้าหลง (Collin Chou Siu-Lun) มาร่วมสร้างสีสันในบทขุนศึกหยกผู้ชั่วร้ายด้วย ตัวละครตัวนี้โดยเนื้อแท้แล้วไม่ใช่คนชั่วร้าย เขาแค่ถูกอำนาจเกียรติยศ เข้าครอบงำจนต้องการรักษาอาณาจักร ให้อยู่ภายใต้เงื้อมมือของเขาตราบนานเท่านาน เมื่อซุนหงอคงมาแย่งชิงอำนาจ เขาจึงต้องจัดการสั่งสอนให้รู้สำนึก แม้จะต้องใช้เล่ห์กลสกปรกก็ตาม…

ด้วยร่างกายสูงใหญ่และใบหน้านิ่งเรียบราวหินผา ทว่าแฝงประกายตาและรอยยิ้มแข็งกร้าวที่น่ายำเกรงของโจวเจ้าหลง ทำให้นักแสดงหนุ่มไปได้ดีกับบทนี้เหลือเกิน โจวเจ้าหลงแสดงหนังมาตั้งแต่ช่วงปลายยุคทศวรรษ 1980 มีงานออกมาให้คนดูผ่านตาพอสมควร ก่อนจะฟุบไปช่วงหนึ่ง และกลับมาเฉิดฉายอีกครั้งกับบทเซราฟในหนังไตรภาคชุด The Matrix อดีตหนึ่งในทีมสตันท์แมนของหงจินเป่าผู้นี้ มีทักษะความสามารถในด้านกังฟู และการแสดงฉากบู๊ที่เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะการใช้อาวุธจีนโบราณ ใน The Forbidden Kingdom โจวเจ้าหลงก็ไม่ลืมที่จะอวดลีลาพะบู๊ด้วยศาสตราวุธให้ผู้ชมได้ดูกัน โดยเฉพาะฉากต่อสู้ไคลแมกซ์ระหว่างเขากับหลี่เหลียนเจี๋ยที่พลิ้วไหว งดงามสมศักดิ์ศรีดารากังฟูรุ่นเก๋าจริง ๆ

ตรงข้ามกับหนังจีนสัญชาติฝรั่งเรื่องอื่น ๆ… The Forbidden Kingdom ดูจะให้ภาพของชาวตะวันออกในแง่ Positive ไม่น้อย ตัวละครชาวจีนในเรื่อง เป็นคนดี มีคุณธรรม ขณะที่พวกมะกัน (ยกเว้นพระเอกของเรื่อง) กลับถูกสร้างออกมาดูเลวสุด ๆ (เหมือนหนังคนจีนสร้างยังไงยังงั้น) หนังยังหยิบยืมสูตรตายตัวต่าง ๆ ของหนังกังฟูฮ่องกงมาใช้ด้วย ที่เห็นชัด ๆ คือ ฉากการฝึกฝนวรยุทธ์ของตัวเอก (ดูแล้วน่าสงสารปนขบขันหนุ่มแองการาโนเหลือเกิน ที่ต้องมารับมือรับเท้าแบบในหนังเรื่อง ไอ้หนุ่มพันมือ (Snake in the Eagle’s Shadow) และ ไอ้หนุ่มหมัดเมา (Drunken Master) จากอาจารย์สุดเข้มงวดทั้งสอง) หรือฉากการช่วยเหลือกันและกันของฝ่ายธรรมะ (ซึ่งเห็นได้ชัดเจนในฉากไคลแมกซ์ของหนัง กับการยกทีมมาช่วยกลุ่มพระเอกของเหล่าศิษย์วัดเส้าหลิน ที่ดูแล้วน่าซาบซึ้งใจเหลือเกิน)

นอกจากนี้ The Forbidden Kingdom ยังแอบโปรโมตเมืองจีน (หลังจากได้รับการสนับสนุน และอำนวยความสะดวกเต็มที่ของรัฐบาลจีน) ด้วยการยกกองถ่ายไปถ่ายทำกันถึงสถานที่ต่าง ๆ ในเมืองจีนด้วย ไม่ว่าจะเป็นทะเลทรายโกบี สวนดอกเหมยเมืองฟางเยี่ยน น้ำตกเมืองเซียนจวี หรือป่าไผ่เมืองอังจวี (สถานที่ที่เคยใช้ถ่ายทำ พยัคฆ์ระห่ำ มังกรผยองโลก (Crouching Tiger, Hidden Dragon) มาก่อน) ซึ่งเมื่อได้รับการส่งเสริมจากเทคโนโลยีงานสร้างชั้นเลิศ และฝีมือการกำกับภาพระดับเทพ ของหนึ่งในผู้กำกับภาพชั้นแนวหน้าของโลกอย่าง ปีเตอร์ เปา (Peter Pau Tak-Hei) ก็ทำให้ภาพวิวทิวทัศน์ที่ออกมาดูสวยงาม ตระการตาและได้อารมณ์แบบหนังจีนร่วมสมัยดีจริง ๆ

การที่ภาพรวมตลอดจนภาพลักษณ์ของหนังที่ออกมาถูกใจคนเอเชียเช่นนี้ คงต้องขอขอบคุณ ร็อบ มินคอฟ เป็นโชคดีของผู้ชมที่ผู้กำกับที่เคยทำหนังการ์ตูนอย่าง The Lion King หรือหนังครอบครัวอย่าง Stuart Little คนนี้ เป็นคนที่สนใจและเข้าใจในความเป็นจีน แถมยังรู้จักเมืองจีนเป็นอย่างดีด้วย (ร็อบเคยมาเมืองจีนหลายครั้ง ทั้งยังเคยไปเป็นอาจารย์พิเศษ ด้านอนิเมชั่นที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งอีกด้วย) จึงนับว่าเหมาะสมยิ่ง ที่ได้คนอเมริกันที่หลงใหลวัฒนธรรมตะวันออกเช่นนี้ มารับหน้าที่คุมบังเหียนใหญ่

ซึ่งมินคอฟก็ไม่ทำให้ผู้ชมต้องผิดหวัง เขาเลือกจะควบคุมบรรยากาศ จังหวะจะโคน ไปจนถึงภาพรวมของหนัง ด้วยการเล่าเรื่องจากมุมมองของเจสัน เสมือนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ป็นเพียงความฝัน หรืออุดมคติที่เด็กหนุ่มอเมริกันคนหนึ่งมีต่อวัฒนธรรม และตำนานของจีน วิธีนี้เปิดโอกาสให้เขาได้ใช้จินตนาการมากกว่าการนำเอาเรื่องราวจีน ๆ มาตีความใหม่ (อันมีความเสี่ยงที่จะ ‘เละ’ สูง) เมื่อบวกรวมกับประสบการณ์จากผลงานชิ้นก่อน ๆ ที่ (ส่วนใหญ่) เป็นหนังครอบครัวของมินคอฟแล้ว ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกหาก The Forbidden Kingdom จะออกมาประมาณ “หนังบู๊ฮามหามันส์ ดูได้ทุกเพศวัย” ซึ่งก็เป็นไปตามคาด แม้จะอุดมไปด้วยฉากแอคชั่นดุดันหนักหน่วงในแบบหนังกังฟูแอคชั่น แต่มินคอฟก็ไม่ลืมที่จะเหลือพื้นที่ให้กับแง่มุมของการให้ความหวัง ให้กำลังใจ และมองโลกในแง่ดี ตามแนวถนัดของเขาได้อย่างแนบเนียน

เห็นกล่าวถึงในแง่บวกมาตลอด ใช่ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ จะไร้จุดบกพร่องใด ๆ นะครับ ปัญหาที่เกิดกับ The Forbidden Kingdom เป็นเรื่องเดิม ๆ ที่เกิดกับหนังจีน (ทั้งในอดีตและปัจจุบัน) นั่นคือ ความสมเหตุสมผลของบท ดูฟัสโกจะเพลิดเพลินกับการผสมผสาน สิ่งที่เขาชอบมากเกินไป จนละเลยหลักตรรกะที่จำเป็นบางประการในการเขียนบทภาพยนตร์ไป ที่มาของตัวละครในเรื่อง ดูไม่ค่อยมีเหตุมีผลนัก แม้กระทั่งกลุ่มตัวเอก (ยกเว้นหลวงจีนใบ้ที่ยังพอรับได้) แม้จะดูน่าดื่มด่ำในอารมณ์และสนุกไปกับฉากต่อสู้ ซึ่งความก้าวหน้าของเทคนิคพิเศษ ได้เปิดพรมแดนแห่งจินตนาการอย่างไร้ขีดจำกัด ในการสร้างความตะลึงพรึงเพริด (และเชื่อได้ว่าจะมีลีลาที่เร้าใจยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ตามออกมาในอนาคตอย่างแน่นอน)

แต่ตัวหนังก็ยังขาดความราบรื่นกลมกลืนใ นการดำเนินเรื่องและความทะเยอทะยานในการเล่าเรื่องที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะข้อจำกัดของหนังแอคชั่นกำลังภายในก็เป็นได้ คือมันเป็น Genre ที่ประกอบด้วยสององค์ประกอบสำคัญ นั่นคือ ความพะบู๊ในฉากการต่อสู้ และความจริงจังในเรื่องของคุณธรรม บนความพลิกผันของท้องเรื่องซึ่งเกิดขึ้นในโลกสมมติ เป็นแนวหนังที่สามารถทำให้น่าสนใจได้ แต่ก็ขาดคุณค่าและแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ไป

The Forbidden Kingdom ก็หนีปัญหานี้ไม่พ้นเช่นกัน (ส่วนหนึ่ง เกิดจากการใส่ฉากต่อสู้เข้ามาแบบผิดที่ผิดทาง) หนังมีประเด็นยิบย่อยบางประการที่ผู้สร้างหาทางออกไม่ได้ หรือหาได้ แต่ไม่ค่อยเข้าท่านัก เช่น ฉากการวาร์ป (ฮา) จากโลกแห่งความจริงไปสู่โลกแห่งจินตนาการของเจสัน ที่เป็นการเปิดโอกาสให้ทีมผู้สร้างใส่เทคนิคพิเศษต่าง ๆ เข้าไปเพื่อสร้างความพิศวง ลี้ลับให้กับอำนาจแห่งกระบองวิเศษ แต่เอาเข้าจริง กลับออกมาเป็นภาพเจสันร่วงลงมาจากตึกยุคปัจจุบัน แล้วก็ตัดภาพมาเป็นฉากในกระท่อมจีนยุคโบราณ อันทำให้ฉากที่ควรจะ ‘ขลัง’ ฉากนี้ ห้วนและดูหมดมุขไปอย่างช่วยไม่ได้

แม้ความดีเด่นของ The Forbidden Kingdom อาจไม่เข้าขั้นเป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีซ แต่ก็นับว่า ‘ใกล้เคียง’ เต็มที โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากความลงตัวขององค์ประกอบต่าง ๆ รวมถึงการเล่าเรื่องที่แม้ยังมีจุดบกพร่องให้เห็นอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับภาพรวมของตัวหนัง

ยังไม่รวมปฏิกริยาเคมีที่ยอดเยี่ยมระหว่าง เฉิงหลงและหลี่เหลียนเจี๋ย การปรากฎตัวของยอดดารานักบู๊ทั้งสองบนจอในคราเดียวกัน นับว่าสุดยอดแล้ว แต่ที่วิเศษยิ่งกว่าคือ การแสดงชั้นเซียนและการดวลหมัดกันของพวกเขา อันเป็นปรากฎการณ์ที่นานทีจะมีสักครั้ง สิ่งเหล่านี้ช่วยเปล่งรัศมีให้กับหนังได้มากโข… สำหรับแวดวงหนังโลก The Forbidden Kingdom อาจเป็นเพียงหนังแอคชั่นสีสันฉูดฉาดเรื่องหนึ่ง ทว่าสำหรับวงการหนังศิลปะการต่อสู้และแฟนหนังประเภทนี้แล้ว นี่คืองานระดับ ‘คุณภาพ’ อีกชิ้นที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

  • Credits
    บริษัทผู้สร้าง –
    Casey Silver Productions, Huayi Brothers, Relativity Media
    บริษัทจัดจำหนาย – The Weinstein Company (USA)
    กำกับ – Rob Minkoff
    อำนวยการสร้าง – Casey Silver
    บทภาพยนตร์ – John Fusco
    กำกับภาพ – Peter Pau
    ตัดต่อ –Eric Strand
    ดนตรีประกอบ – Harry Gregson-Williams
    กำกับศิลป์ – Eric Lam
    ออกแบบเครื่องแต่งกาย – Shirley Chan
    กำกับคิวบู๊ – Woo-ping Yuen
    แสดงนำ – Jackie Chan, Jet Li, Collin Chou, Michael Angarano, Liu Yifei, Li Bingbing
  • Thailand Distribution – ชื่อไทยในการเข้าฉายคือ “หนึ่งต่อหนึ่ง ใหญ่ฟัดใหญ่”
  • Rating – 4/5

26 ความเห็น

  1. TylerDurden · เมษายน 21, 2008

    น่าดูครับ

  2. ningyogaphuket · เมษายน 21, 2008

    ปายดูมาแย้ว ก็ดีนะ แต่พระเอกม่ายหล่อเลย แต่คงจะหายากนะคะ ที่จะหาชาวตะวันตกมีความสามารถทางด้านหมัดมวย แถมยังต้องตัวไม่โตกว่าตัวนำอีก 2 คน อิอิ

  3. thunder · เมษายน 21, 2008

    จะเจียดเวลาไปดูให้ได้

  4. 9MOT · เมษายน 21, 2008

    ไปดูโดยไม่ได้ตั้งความหวังไว้มากนัก เพราะไม่ค่อยชอบการดำเนินเรื่องของหนังเฉินหลงในช่วงหลังๆ ที่เน้นตลกแต่เนื้อเรื่องไม่ค่อยแน่นเท่าที่ควร แต่เมื่อดูแล้วต้องยอมรับว่าทำได้ค่อนข้างลงตัวทีเดียวทั้งความสมดุลของบทบู๊กับเนื้อหาส่วนอื่น ภาพและมุมกล้องที่สวยงาม ที่ผมไม่ค่อยชอบคือตอนที่หลวงจีนโขมยพลองจากพระเอกตอนเจอครั้งแรก ไม่ทราบว่าทำไปทำไม มีเหตุผลอะไร ? อาจดูแล้วไม่เข้าใจเองหรือเปล่าก็ไม่รู้หุหุ … สรุปสุดท้าย ชอบ วิหกทองคำครับ น่ารักดี (ไม่เกี่ยวกับที่เขียนมาด้านบนเลย อิอิ)

  5. winhid · เมษายน 22, 2008

    น่าดูมากครับ ชอบดูฉากการต่อสู้ และมุมกล้องดีๆ

  6. Par · เมษายน 22, 2008

    ต้องไปดูให้ได้ เพื่อน ๆ บอกว่าสนุกมาก..ก. แต่ขอให้มีเวลาว่างก่อนนะ

  7. ดอกธูป · เมษายน 22, 2008

    ชอบ หลี๋ อี้ เฟย ครับ คนอะไรน่ารักเป็นบ้า แต่เห็นด้วยว่าครั้งนี้ดูเหมือน บทของเธอจะถูกรัศมีของพระเอกดัง 2 คนบังซะหมด … ไม่เหมือนตอนมังกรหยกจากจอแก้ว ^^

  8. ดิวคิ้วว · เมษายน 24, 2008

    มันมากมายย ไปดูมาละ

  9. an · เมษายน 24, 2008

    หนังสุดยอดค่ะ สุดยอดจริงๆ มันทุกหยด คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม

  10. กิวกิน่า · เมษายน 25, 2008

    เป็นหนังที่ดีที่สุดในรอบหลายปีของทั้งเฉินหลงและเจ็ทลีค่ะ
    คิวบู๊เจ๋ง
    เนื้อเรื่องแม้ไม่ยอดเยี่ยม แต่ก็นับว่าใช้ได้
    สาวทั้งสองสวยย
    ส่วนพระเอกของเรื่องก็.. น่ารักดีค่ะ

  11. Naris · เมษายน 27, 2008

    หลิวอิ้เฟยๆ

  12. yuttipung · เมษายน 29, 2008

    ผมเฉยๆ แฮะ ไม่ได้คาดหวังอะไร แต่พบว่าช่วงกลางเรื่องไม่สนุก และเหตุผลหลายอย่างที่ใส่มาพยายามจะให้มีปรัชญาแต่กลับไม่ทำให้เกิดความรู้สึกอะไร เช่น อยู่ดีๆ ตัวละครก็พูด-ฟังภาษาอังกฤษได้, การเปิดตัว หลิวอี้เฟยที่ปุปปับก็มาช่วยอีกฝ่ายเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่มาที่ไปของนางพญาผมขาวที่ตอนจบ จบชีวิตเธอได้อนาถมาก

  13. NALATHER · เมษายน 30, 2008

    เต็ม 10 ผมให้ 9 เป็นหนังเรื่องเดียวที่ผมคิดว่าเฉินหลงแสดงแล้วไม่ไร้สาระ ชอบสุดๆ ตอนที่หงอคงคืนชีพ เอฟเฟ็ค สุดยอดมากๆๆๆๆ เรียกได้ว่าเอฟเฟ็ค เข้าตาคนดูทั้งโรงเลยทีเดียว ขอตินิดหน่อย เทพอมตะตายไวไปหน่อย น่าจะต่อสู้ได้นานกว่านี้ ใส่เอฟเฟ็ค อีกหน่อย ผมจะให้เต็ม 10 ไปเลย

  14. โอดูเเล้วมันจิงโอเป็นอมตะเเล้วเฉิดหลงของผม(ในหนัง)โอราชาวานอนก้อมีชีวิตเเล้ว
    เพราะทุกๆคน555+เฉิดหลงเเล้วก้อใครไม่รุรู้เเต่เฉิดหลง…555+

  15. นิรนาม · พฤษภาคม 2, 2008

    …….

  16. manu · กรกฎาคม 16, 2008

    สุดยอด

  17. jetlee 2 · กรกฎาคม 16, 2008

    ชอบดูฉากตอนที่ JETLEE VS เฉินหลง สุดยอดมากเพราะ JETLEE
    ใช้หมัดตั๊กแตน มันส์แบบบอกไม่ถูก สุดยอดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

  18. konsan · กรกฎาคม 26, 2008

    หลิวอี้เฟ้ยน่ารักมากๆๆๆๆๆๆ

  19. WondeRful GreAtneSs · สิงหาคม 2, 2008

    เรื่องนี้อยากให้คนสร้างทำงานให้หนักกว่านี้
    เพราะโดยตัวเรื่องแล้วนี่ มีองค์ประกอบยิบย่อยให้เล่นเยอะมาก
    แต่บางแง่บางมุม ผู้สร้างแค่หยิบมาใช้ได้เพียงผิวเผินเท่านั้น
    (หรือเอามาแค่เปลือก)
    ยกตัวอย่างเช่น นามสกุลของเจสัน ซึ่งก็คือ ทริปิทีคัส
    ชื่อนี้เป็นชื่อของพระถังซำจั๋งในเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ
    น่าจะเอามาใช้เล่นในเรื่องได้ เสียดายที่ถูกเอามาใช้เป็นนามสกุลเฉยๆโดยไม่มีการปูพื้นฐานข้อมูลใดๆมาให้คนดูเลย (บางคนคงงงว่า นามสกุลฟังดูแปลกๆ)
    ฉากบู๊ก็ดีพอใช้ แต่ผู้กำกับคิวบู๊ดูจะฝีมือตกลงไปมาก มีฉากเด่นดังดีน่าจดจำที่สุดแค่ฉากเดียวคือ ฉากที่เฉินหลงสู้กับเจ็ทลี นอกนั้นก็ดูธรรมดาไปหมดเลย
    โดยรวมแล้ว สำหรับผมคงให้ 3.5/5 น่ะครับ
    แม้จะน่าชื่นชมตรงที่ไม่ค่อยมีกลิ่นนมเนยสไตล์ฝรั่งติดมากับหนังมากนัก

  20. ZeRo_Google · สิงหาคม 11, 2008

    ให้เต็มเลยครับ สร้างได้โดนสุดๆ จินตนาการได้เยี่ยมไปเลยเป็นหนังบู้แฟนตาซีที่โดนมากที่สุดเท่าที่เคยดูมา

    เสียดายหนงน่าจะนานกว่านี้หน่อยนะจะได้มีรายละเอียดในบางส่วนที่ค้างคาหน่อย

  21. Doom · กันยายน 2, 2008

    เพิ่งดู แต่ว่าสนุกมาก ๆ เลย
    ชอบพี่หลิวอี้เฟยมาก ๆ

    แล้วก็ชอบนักแสดงคนอื่น ๆ ด้วย

  22. taa · พฤศจิกายน 7, 2008

    สนุกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

  23. นราก · เมษายน 4, 2009

    ,kskgmv

  24. enginer · กุมภาพันธ์ 18, 2010

    สุดสุดยอด

  25. aoolmos2580 · มิถุนายน 19, 2010

    ชอบ

  26. kai55 · มิถุนายน 12, 2012

    ชอบหนังนี้ครับ สร้างแรงบันดาลใจต่อคนดูได้ดีมากเกี่ยวกับการฝึกฝน และทรรศนะคติที่ดีต่องานยาก
    สาระได้เต็มๆครับ ให้เต็ม 10 ครับ

ส่งความเห็นที่ yuttipung ยกเลิกการตอบ